วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556

กฎหมาย E-Commerce


กฎหมาย E-Commerce      
                 
 เตรียมพร้อมรับกฎหมาย “e” ก่อนที่คุณจะกลายเป็นผู้กระทำผิด 


     พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป (18กรกฎาคม 2550)รู้ให้ทันและเข้าใจเพื่อปกป้องสิทธิของตนเองอย่างถูกต้อง กับบทความจากeWEEK ได้เคยนำเสนอข้อมูลและตีพิมพ์ตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา

9พฤษภาคม ที่ผ่านมา นับเป็นวันแห่งการเปิดศักราชด้านการป้องกันการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เห็นชอบ “ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์” หลังจากที่รอคอยกันมานานถึง 9 ปีนับแต่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้จัดทำร่างกฎหมายด้านอิเล็กทรอนิกส์เมื่อปี 2541

พรบ.ดังกล่าวเป็นกฎหมายอิเล็กทรอนิกส์ฉบับที่สองของประเทศไทย โดยก่อนหน้านี้ได้ออก พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไปแล้วเมื่อปี 2544 และมีผลบังคับใช้เมื่อ วันที่ 3 เมษายน 2545 ซึ่งได้รวมเอาลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ไว้ในฉบับดังกล่าวด้วย

ขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ อยู่ระหว่างรอลงพระปรมาภิไธย ก่อนที่จะประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งจะมีผลบังคับใช้หลังจากนั้น 30 วัน

สุรางคณา วายุภาพ ผู้อำนวยการ สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ(เนคเทค) ผู้อยู่ในคณะทำงานด้านกฎหมายอิเล็กทรอนิกส์มาตลอด กล่าวกับ eWEEK เมื่อช่วงปลายเดือนพฤษภาคมว่า “คาดว่าจะใช้เวลาราวๆ 90 วันนับจากนี้ที่จะได้ใช้กฎหมายดังกล่าวโดยกฎหมายมีเจตนารมณ์เพื่อกำหนดฐานความผิดและบทลงโทษ รวมทั้งการกำหนดเกี่ยวกับพนักงานเจ้าหน้าที่ รวมถึงหน้าที่ของผู้ให้บริการ”

“นับว่าเป็นร่างพรบ.ฉบับที่มีความสมบูรณ์มาก เพราะมีร่างประกาศออกมาพร้อมกันด้วย ซึ่งร่างประกาศจะเป็นส่วนสนับสนุนพรบ. เช่น จัดทำประกาศเกี่ยวกับผู้ให้บริการและข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ จัดทำประกาศเกี่ยวกับการกำหนดคุณสมบัติพนักงานเจ้าหน้าที่ และจัดทำประกาศเกี่ยวกับบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ เป็นต้น นอกจากนี้ยังเตรียมแผนสร้างความรับรู้ต่อสาธารณชนด้วย”

ซึ่งกฎหมายฉบับนี้จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับองค์กรทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งยกระดับความมั่นคงของประเทศไทย ที่ให้เห็นถึงความพร้อมรับกับปัญหาหากเกิดภัยคุกคาม โดยประเด็นที่เป็นข้อห่วงใยของสังคมปรักอบด้วย 4 เรื่องหลักดังนี้

ประการแรก การทำความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นทางเทคนิคทั้งในลักษณะของการกระทำความผิดและลักษณะของการสืบสวนสอบสวนของพนักงานเจ้าหน้าที่ ประการที่สองการสร้างความสมดุลระหว่างการคุ้มครองสังคมและคุ้มครองสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชน ประการที่สามการควบคุมการใช้อำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ทั้งนี้ เพื่อให้กฎหมายนั้นสามารถใช้บังคับได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ก่อให้เกิดภาระกับผู้ให้บริการ/ผู้ประกอบการมากเกินไป โดยมีจุดยืนสำคัญในการให้ความคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของประชาชน

ประการสุดท้าย ผลกระทบหรือความเสียหายจากการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ (เช่น การก่อการร้ายรูปแบบใหม่ๆ หรือ Cyber Terrosism) หรือเสถียรภาพทางการเงิน (ซึ่งในปัจจุบันมีมูลค่านับล้านล้านบาท หรือมีมูลค่าสูงขึ้นทุกขณะ) หรือกระทบต่อบริการสาธารณะ

   ดังนั้นผู้ให้บริการจึงจำเป็นต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมสารสนเทศยุคใหม่ที่แนวคิดเรื่อง “IT Governance”กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงสอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกัคอมพิเตอร์ในมาตรา 26เนื่องจากเมื่อเกิดเหตุการณ์การกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ผู้รักษากฏหมายหรือพนักงานเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องสืบสวน และ สอบสวนค้นหาหลักฐานซึ่งอยู่ในรูปแบบของไฟล์ที่เป็นดิจิตอลฟอร์แมต มีลักษณะการจัดเก็บปูมระบบ หรือ “Log  file” ที่ได้จากกิจกรรมต่างๆในระบบที่กฏหมายเรียกว่า “ข้อมูลจราจร” หรือ “Traffic Data” ซึ่งกฏหมายกำหนดให้เก็บเฉพาะ “เท่าที่จำเป็น” แปลว่า ไม่ต้องเก็บข้อมูลจราจรทั้งหมดที่เกิดขึ้นในระบบ (เพราะเป็นไปไม่ได้ในทางปฎับัติ) เช่น ควรจัดเก็บเฉพาะ Source IP address, Destination IP address, Date, Time และ User Name (ถ้ามี) เพื่อที่จะให้พนักงานเจ้าหน้าที่สามารถพิสูจน์หลักฐานด้วยวิธี “Computer Forensic” ได้ และสามารถสืบค้นย้อนหลังได้สูงสุดถึงหนึ่งปี ในกรณีที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีระยะเวลามากกว่า 90 วัน จึงเป็นที่มาของความจำเป็นซึ่งกลายเป็นความรับผิดชอบที่ทุกองค์กร โดยเฉพาะผู้ให้บริการต้องร่วมด้วยช่วยกัน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของกฏหมายฉบับนี้


ข้อบังคับว่าด้วยการใช้เครื่องหมายรับรองการจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์นี้ จัดทำขึ้นตามบทบัญญัติมาตรา ๘๒ แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. ๒๕๓๔
หมวด ๑
บททั่วไป
                    ข้อ ๑ ข้อบังคับว่าด้วยการใช้เครื่องหมายรับรองการจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์นี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายรับรองตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. ๒๕๓๔
                    ข้อ ๒ ข้อบังคับนี้ถ้ามิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ให้นำบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. ๒๕๓๔ มาใช้บังคับ
                    ข้อ  ๓ ในข้อบังคับนี้
                   “เครื่องหมายรับรอง” หมายถึง เครื่องหมายที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้ากำหนดขึ้นท้ายข้อบังคับนี้ เพื่อรับรองว่าเป็นผู้ประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่ได้จดทะเบียนพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยทะเบียนพาณิชย์
                   “ผู้ประกอบธุรกิจ” หมายถึง ผู้ประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่ได้จดทะเบียนพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยทะเบียนพาณิชย์แล้ว
                   “การประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์” หมายถึง การประกอบธุรกิจดังต่อไปนี้
(๑) การซื้อขายสินค้าหรือบริการ โดยวิธีการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
(๒) การบริการอินเทอร์เน็ต
(๓) การให้เช่าพื้นที่ของเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย
(๔)การบริการเป็นตลาดกลางในการซื้อขายสินค้าหรือบริการ โดยวิธีใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบเครือ  ข่ายอินเทอร์เน็ต
(๕) การทำธุรกรรมโดยวิธีใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์อื่น  ตามที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าประกาศกำหนด
“กรม” หมายถึง กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์

หมวด ๒
หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายรับรอง
                    ข้อ ๔ ผู้ประกอบธุรกิจทุกรายที่แสดงความประสงค์ขอใช้เครื่องหมายรับรองจะได้รับอนุญาตจากกรมให้ใช้เครื่องหมายรับรองตลอดระยะเวลาที่ประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
                    การอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายรับรอง กรมจะส่งรหัสเครื่องหมายรับรอง(Source Code)ให้ผู้ประกอบธุรกิจทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) ไปยังที่อยู่อิเล็กทรอนิกส์ (E-mail Address) ที่ระบุในการจดทะเบียนพาณิชย์ เพื่อขอรับรหัสเครื่องหมายรับรอง
                    ข้อ ๕ผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายรับรอง ต้องแสดงเครื่องหมายรับรองไว้บนหน้าแรกของเว็บไซต์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับชื่อผู้ประกอบธุรกิจ ชื่อทางการค้า (ถ้ามี) ชื่อเว็บไซต์ เลขทะเบียนพาณิชย์ ที่ตั้งของสถานประกอบการ หรือที่ตั้งของตัวแทนหรือบุคคลที่สามารถติดต่อได้ วิธีการติดต่อ หมายเลขโทรศัพท์ โทรสาร หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์(E-mail)  และเวลาทำการ
                    ในกรณีมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่ต้องเปิดเผยตามวรรคหนึ่ง  ผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายรับรองต้องปรับปรุงข้อมูลให้ตรงต่อความเป็นจริงอยู่เสมอ
                    ข้อ ๖ ผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายรับรองต้องยินยอม อำนวยความสะดวก และให้ข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่ของกรมเข้าทำการตรวจสอบกำกับดูแลการใช้เครื่องหมายรับรองตามข้อบังคับนี้
หมวด ๓
การพัก และเพิกถอนการใช้เครื่องหมายรับรอง
                    ข้อ ๗ กรมมีอำนาจสั่งพักใช้เครื่องหมายรับรองในกรณีผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายรับรองไม่ปฏิบัติตาม ข้อ ๕
                    ให้ผู้ถูกสั่งพักใช้เครื่องหมายรับรองดำเนินการเปิดเผยข้อมูลให้ตรงต่อความเป็นจริง และแจ้งกรมภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่ถูกสั่งพัก
                    เมื่อกรมได้รับแจ้งตามวรรคสองและได้ตรวจสอบแล้วว่าผู้ถูกสั่งพักได้เปิดเผยข้อมูลให้ตรงต่อความเป็นจริงแล้ว ให้ผู้ถูกสั่งพักสามารถใช้เครื่องหมายรับรองได้ต่อไป แต่ถ้าผู้ถูกสั่งพักไม่ดำเนินการ ดังกล่าว ภายในระยะเวลาที่กำหนดกรมมีอำนาจที่จะเพิกถอนการใช้เครื่องหมายรับรองได้
                    ข้อ ๘ กรมมีอำนาจเพิกถอนการใช้เครื่องหมายรับรอง ในกรณีดังต่อไปนี้้
                    (๑) มีพฤติกรรมในการประกอบธุรกิจที่ขัดต่อกฎหมาย หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือความมั่นคงของประเทศ หรือไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค หรือ
                    (๒) นำเครื่องหมายรับรองไปใช้ในลักษณะที่ผิดวัตถุประสงค์อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายกับกรมซึ่งเป็นเจ้าของเครื่องหมายรับรอง หรือ
                    (๓) ไม่ยินยอม หรือไม่อำนวยความสะดวก หรือไม่ให้ข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่ของกรมตาม     ข้อ ๖ หรือ
                    (๔) ถูกถอนใบทะเบียนพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยทะเบียนพาณิชย์
                    (๕) เพิกถอนตาม ข้อ ๗ วรรคสาม
                    ข้อ ๙  ผู้ถูกสั่งพักหรือเพิกถอนการใช้เครื่องหมายรับรอง ต้องเลิกใช้เครื่องหมายรับรองในการประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ทันที
                      ในกรณีผู้ถูกสั่งพัก หรือเพิกถอนการใช้เครื่องหมายรับรองใดฝ่าฝืนใช้เครื่องหมายรับรองต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้กรมในอัตราวันละห้าพันบาทจนกว่าจะเลิกใช้


ที่มา :: http://www.b2ccreation.com/content/knowledgebase/kb_view.asp?kbid=22




วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Web Site Promotion

แนวทางที่ 1
ลิงค์คือสิ่งแสดง ว่าเว็บคุณไม่โดดเดี่ยว

1สร้างลิงค์ที่เว็บไซต์อื่น แล้วเชื่อมโยงมายังเว็บไซต์คุณ

ลิงค์ คือประตูที่ทำให้ผู้คน เข้าชมเว็บไซต์คุณได้สะดวกมากขึ้น ฉะนั้นการมีลิงค์เว็บไซต์ของคุณ ในเว็บอื่น ๆ จะช่วยให้ผู้เข้าชมสามารถคลิกเข้ามายังเว็บไซต์คุณได้ทันที   เมื่อกูเกิลเห็นว่าเว็บไซต์อื่นๆ มีลิงค์ที่สามารถเข้าชมเว็บคุณได้ ซึ่งจะช่วยให้อันดับการค้นหาเว็บคุณดีขึ้น  นี่คืออีกทางเลือกที่ดีสำหรับคุณ

ยิ่งลิงค์ที่เชื่อมมายังเว็บไซต์คุณ มีคุณภาพมากเท่าไหร่ 
ไซต์Search engine ก็จะให้ความเชื่อถือเว็บคุณมากตามไปด้วย
คุณทราบหรือไม่ว่า Google และเหล่า search engines อื่น  ต่างเชื่อว่า  หากเว็บไซต์อื่นๆ ได้สร้างลิงค์ เพื่อลิงค์เข้าสู่เว็บไซต์คุณ  เขาจะถือว่าเว็บคุณเป็นเว็บที่ดีมีคุณภาพ  น่าเชื่อถือ  นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เว็บอื่นๆ ต้องสร้างลิงค์มายังเว็บคุณ

นี่หมายถึง คุณอาจต้องมีการแลกลิงค์ระหว่างเว็บคุณ กับเว็บเหล่านั้น ซึ่งการทำเช่นนี้ มีข้อพึงระวังอันได้แก่

แลกลิงค์ กับ เว็บไซต์ของเพื่อน
โปรดระวัง! อย่าทำการแลกลิงค์ โดยไม่คำนึงถึง เนื้อหาบนเว็บของเขา และคุณ หากคุณทำการแลกลิงค์ไปทั่ว โดยไม่สนใจเนื้อหาของเว็บนั้นๆ จะเกิดผลเสียกับเว็บคุณ เพราะ Google จะทราบทันทีว่านี่คือการแลกลิงค์ ไม่ใช่  การแนะนำเว็บจริงๆ และเว็บคุณจะถูกลดความน่าเชือถืออีกด้วย
ฉะนั้น หากจะทำการแลกลิงค์กับเว็บเพื่อน ต้องตรวจสอบเนื้อหาว่าสอดคล้องกับเว็บของคุณหรือไม่ เพื่อประโยชน์ของตัวคุณเอง

โพสต์ลิงค์ใน ฟอรั่ม บล็อก หรือ ช่องคอมเม้นท์
การโพสต์ลิงค์ใน ฟอรั่ม ต่างๆ เป็นเทคนิคที่นิยมใช้กันโดยทั่วไป  ซึ่งแน่นอนว่า มีข้อควรระวังเล็กน้อย คือ คุณควรโพสต์ความคิดเห็นของคุณ  ที่มีต่อกระทู้นั้นๆก่อน แล้วตามด้วยลิงค์ของเว็บไซต์คุณ เพราะ หากคุณเลือกที่จะโพสต์ลิงค์คุณเพียงอย่างเดียว ข้อความที่คุณโพสต์นั้นจะกลายเป็นสแปม(ข้อความก่อกวน และไม่มีประโยชน์) ข้อความนั้นจะถูกลบทิ้งโดยระบบ และบัญชีผู้ใช้ของคุณ อาจถูกแบน หรือ ไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป ดังนั้นการโพสต์จะให้ประโยชน์กับคุณก็ต่อเมื่อคุณเพิ่มความคิดเห็นลงไปก่อนที่จะใส่ลิงค์ โปรดใส่ข้อมูลที่เป็นความจริง เกี่ยวกับเนื้อหาเว็บไซต์ของคุณด้วย

บล็อก และ การเขียนบทวิจารณ์
จะดีแค่ไหนหากมี บุคคล หรือองค์กรอื่นๆ เช่น นักวิจารณ์ นิตยสารออนไลน์ ฯลฯ เขียนวิจารณ์เว็บคุณไปในทางที่ดี พร้อมกับบอกที่อยู่ของเว็บคุณไว้ในตอนท้าย เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าไปเยี่ยมชมเว็บคุณ แต่…คุณอาจเจอบุคคลที่พร้อมจะเขียนวิจารณ์ให้คุณทันที หากคุณยื่นข้อเสนอด้านการเงินให้เขา เรียกอีกอย่างว่า การรับจ้างเขียนวิจารณ์นั่นเอง จริงๆแล้ววิธีการเขียนบทวิจารณ์นี้เป็นเพียงการโปรโมทเว็บไซต์ระยะสั้นเท่านั้น ฉะน้ั้นควรไตร่ตรองก่อนตัดสินใจจ้าง 

หรือ คุณอาจเลือกส่งจดหมายไปยังสำนักข่าวเพืี่อให้พวกเขาเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์คุณ  เขาอาจเลือกเขียนวิจารณ์เว็บคุณก็ได้หากเขาเห็นว่าเว็บของคุณเป็นประโยชน์ ต่อกลุ่มผู้อ่าน


แนวทางที่ 2
การใช้ Facebook และสังคมออนไลน์อื่นๆ(ถึงแม้ว่าคุณจะไม่มี บัญชีผู้ใช้ ก็ตาม)


วิธีโปรโมทเว็บไซต์ กับ สังคมออนไลน์สุดฮิต
สังคมออนไลน์คืออะไร? ทำงานอย่างไร? เพื่อการโปรโมทเว็บที่ได้ผล

นำเสนอเว็บไซต์ด้วย หน้าเฟสบุ๊คดี จริงหรือ?  
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบัน เฟสบุ๊คกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก สังเกตได้จากจำนวนผู้ใช้ที่มีมหาศาล จนทำให้บางคนคิดว่าเฟสบุ๊คก็เปรียบเสมือนหน้าเว็บไซต์ทั่วไป  แล้วเฟสบุ๊คจะสามารถช่วยโปรโมทเว็บได้ผลจริงหรือ...

ในหัวข้อนี้ หากเขียนเป็นหนังสือควรอยู่ในหมวด อินเตอร์เนตกับยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ในความคิดของสาธารณะชนลองอ่านคำแนะนำเรื่อง เฟสบุ๊คกับการโปรโมทเว็บไซต์

ใช้ในการนำเสนอ ซึ่งควรโดดเด่น และคุณสามารถควบคุมรูปแบบ หรือบอกกล่าวอธิบายกิจกรรมที่คุณต้องการนำเสนอได้คุณต้องการใช้เฟสบุ๊คเพราะ คุณอยากจัดการ, ปรับปรุงแก้ไข, อัพเดตข้อมูลเนื้อหาได้หลายครั้งตามต้องการ พร้อมกับความง่ายให้มากที่สุดคุณทราบว่า เว็บไซต์เปรียบเสมือนตู้โชว์สินค้า คุณใช้เว็บไซต์คุณสำหรับนำเสนอสิ่งที่สำคัญต่างๆ เว็บไซต์ไม่ใช่ป้ายโฆษณาเลือกความเป็นส่วนตัว หรือจะเลือกความเป็นมืออาชีพ ให้กับสังคมออนไลน์ต่าง ๆ  เช่น เฟสบุ๊ค, ลิงค์อิน  ฯลฯ   เป็นสิ่งสำคัญ ควรแยกส่วนให้ชัดเจน เพราะนี่ไม่ใช่เว็บไซต์ส่วนตัวแต่เป็นสิ่งที่ใช้สำหรับโปรโมทเว็บไซต์ของคุณเปรียบเสมือนเกาะสวรรค์หรรษา ส่วนสังคมออนไลน์เป็นบริษัทเรือสำราญพาทัวร์เกาะ มีหน้าที่พาผู้โดยสารไปเว็บไซต์คุณ  อย่าลืมว่าเรือเป็นเพียงพาหนะนำนักท่องเที่ยวมาชมเกาะเท่านั้นพึงระลึกไว้เสมอว่า สังคมออนไลน์ต่างๆมักจะมีการเปลี่ยนแปลงตัวระบบอยู่เสมอๆ ซึ่งคุณไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ข้อมูลส่วนตัว หรือปัญหาจากลูกค้าบางรายที่เขียนระบายสิ่งที่พวกเขาไม่พอใจในสังคมออนไลน์ของคุณ ซึ่งจะส่งผลให้ความระดับความพึงพอใจของลูกค้ารายอื่นๆลดลงได้

อีกสิ่งที่สำคัญ คือ คุณอยากเห็นสังคมออนไลน์ของคุณในแบบใด เช่น แบบที่คุณต้องการเน้นจำนวนผู้เข้าชมมากกว่าคุณภาพของผู้เข้าชมเหล่านั้น   หรือ อาจเป็นแบบเน้นที่ระดับความผูกพันธ์ ความสัมพันธ์ของผู้ติดต่อ?ให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ มากกว่าสังคมออนไลน์ ทำเว็บไซต์ให้บรรลุเป้าหมายด้วยการเขียนเนื้อหาบนเว็บโดยใส่ความรู้ความสามารถของคุณลงไป แบบรู้ลึก รู้จริง พร้อมภาษาที่เข้าใจง่าย เพื่อประโยชน์ของผู้อ่านตัวอย่างของการเชื่อมต่อเฟสบุ๊คกับกิจกรรมออนไลน์อื่นๆ 


..แล้ว จะใช้เฟสบุ๊ค ลิงค์อิน หรือ สังคมออนไลน์อื่นๆ เพื่อการโปรโมทอย่างไรล่ะ?

1. อย่าเป็นสมาชิก โดยที่ไม่รู้ว่า สิ่งเหล่านั้นทำอะไรได้บ้าง! 
ลิงค์อิน (LinkedIn) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับโพสต์ประกาศ ประวัติย่อของคุณ เนื่องจากกลุ่มผู้ใช้ลิงค์อินส่วนใหญ่ เป็นวัยทำงาน  ซึ่งหมายความว่า ผู้ใช้ส่วนใหญ่มีการงานอาชีพ และมีรายได้เป็นของตนเอง ฉะนั้นเมื่อคุณเปิดบัญชีกับลิงค์อิน ทางระบบก็จะเพิ่มรายชื่อ เพื่อนที่ทำงานที่เดียวกับคุณ หรือลูกค้าของคุณได้ทันทีที่คุณต้องการ(ต้องมีลิงค์อินเช่นกัน)
เฟสบุ๊ค (FaceBook) เป็นอีกหนึ่งสังคมออนไลน์ที่นิยมที่สุดในขณะนี้ "แบ่งปัน (share)" คือ เอกลักษณ์ของเฟสบุ๊ค เนื่องจากการทำงานหลักๆ ของกลุ่มผู้ใช้คือ แบ่งปันเรื่องราวส่วนตัว, โพสต์สถานะที่เป็นอยู่ หรือแบ่งปันสิ่งที่พวกเขาได้ อ่าน พบ เจอ ลงในเฟสบุ๊คผ่านลิงค์ของบทความ รูปภาพ และวิดีโอนั้นๆ หากคุณต้องการแบ่งปัน เฟสบุ๊คก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคุณ
อื่นๆ ปัจจุบันเครือข่ายสังคมออนไลน์มีอยู่นับไม่ถ้วน แต่จุดประสงค์และการทำงานหลักๆแล้ว คือ การส่งลิงค์เชิญชวน เพื่อให้เข้าร่วมในกิจกรรมต่างๆ หรือตอบรับ เพื่อร่วมรับข่าวสารจากทางเครือข่ายสังคมออนไลน์นั้นๆ ให้ได้มากที่สุด ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดทั้งสิ้น

2. แยกเรื่องส่วนตัว กับเรื่องงานให้ชัดเจน 
โดยมากแล้วเฟสบุ๊คจะเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว เช่น แบ่งปันความรู้สึกที่เป็นอยู่ให้เพื่อน ครอบครัว หรือคนในเครือข่ายได้รับทราบ แต่หากคุณเชื่อว่าลักษณะของเฟสบุ๊ค เหมาะสมกับธุรกิจคุณ ก็สามารถสร้างหน้าใหม่ แยกจากหน้าส่วนตัวของคุณได้ หลังจากสร้างเสร็จแล้ว อย่ากลัวที่จะแบ่งปันสิ่งดีๆ เพียงแต่การแบ่งปันแต่ละครั้ง ควรใช้ถ้อยคำที่ดูน่าเชือถือเท่านั้นเอง

3. การสร้างหน้าเหล่านี้ คุณต้องมีเวลาให้กับมัน
แน่นอนว่าการสร้างอะไรก็ตามต้องใช้เวลา ฉะนั้นคุณควรมีเวลาให้กับการสร้างหน้าโปรโมทสำหรับเว็บคุณ
ผ่านเครื่อข่ายออนไลน์ต่างๆ ทุ่มเทให้กับมัน แล้วทุกอย่างจะต้องดีแน่นอน

4. ไม่ซ้ำซากจำเจ
เมื่อคุณเลือกที่จะสร้างเครือข่ายออนไลน์เพื่อการโปรโมท คุณก็ควรจะดูแล ให้ความสำคัญ หมั่นอัพเดทข้อมูลบ่อยๆ เขียนเนื้อหาให้น่าสนใจ เพื่อจะได้มีผู้เข้าชม และติดตามผลงานของคุณ ซึ่งเป็นผลดีต่อธุรกิจคุณเป็นอย่างมาก

ความจริงแล้ว การสร้างหน้าสังคมออนไลน์นี้เป็นดุลพินิจของคุณ คุณจะสร้างหรือ ไม่สร้างก็ได้ เพราะในเมื่อเว็บไซต์คุณมีปุ่มให้ผู้อ่านสามารถกด "แบ่งปัน" ไว้อยู่แล้ว







วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

E-Advertsing


กลยุทธ์การตลาดเชิงรับ (Defensive marketing strategy)
     กลยุทธ์ในกลุ่มนี้มีไว้เพื่อป้องกัน Market Share, Mind Share, Brand Positioning และ Profitability จากการจู่โจมและช่วงชิงของคู่แข่ง  การตั้งรับที่ดีจะทำให้มี Superior Positioning ทันทีเมื่อเทียบกับคู่แข่งในทุกครั้ง หัวใจของการตั้งรับอยู่ที่ว่าเราต้องพยายามหาจุดอ่อนของเราอยู่ตลอดเวลาเพื่อสกัดให้ได้เมื่อถูกโจมตีหรือพยายามเปลี่ยนให้เป็นจุดแข็ง  เรียกว่าเป็นการทำ Weakness audit หลักการอื่น ๆ ก็คือต้องสอดส่องว่าคู่แข่งรายใดจ้องจะโจมตีเราบ้างและเมื่อใด  การจะใช้กลยุทธ์ให้ได้ผลดีก็ต่อเมื่อ Defenders มีการโต้ตอบที่สมน้ำสมเนื้อหรืออาจต้องหนักกว่าการโจมตีจากผู้คุกคาม  และต้องพยายามป้องกันทุก Strategic Markets ให้ได้
*********************************************************************************
กลยุทธ์การตลาดเชิงรุก (Offensive marketing warfare strategies)
   กลยุทธ์การตลาดเชิงรุก คือ กลยุทธ์ทางการตลาดที่มีเป้าหมายเพื่อบรรลุเป้าประสงค์บางอย่าง โดยทั่วไปจะเป็นการชิงส่วนแบ่งทางการตลาดจากคู่แข่งที่เป็นเป้าหมาย นอกจากส่วนแบ่งการตลาดแล้ว กลยุทธ์การตลาดเชิงรุกยังมีจุดมุ่งหมายที่จะให้ได้มาซึ่ง กลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก, กลุ่มตลาดระดับบนและกลุ่มลูกค้าที่มีความภักดีสูง
ปัจจัยสำคัญ
ปัจจัยหลักของของกลยุทธ์มี 4 ข้อ ดังต่อไปนี้
1. ประเมินจุดแข็งของคู่แข่งที่เป็นเป้าหมาย พิจารณาถึงความสนับสนุนที่จะได้จากพันธมิตรของคู่แข่ง อนึ่ง ควรเลือกเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวในการจู่โจม
2. ค้นหาจุดอ่อนในตำแหน่งของคู่แข่ง โจมตีไปยังจุดนั้น ควรพิจารณาดูว่า การที่คู่แข่งเป้าหมายจะได้รับแรงสนับสนุนเพื่อกลับมาอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ได้เสียเปรียบอีกครั้งต้องใช้ระยะเวลาเท่าไหร่
3. เปิดฉากโจมตีให้ลงไปในตำแหน่งที่จำเพาะเจาะจงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เนื่องจากธรรมชาติของผู้ตั้งรับจะต้องตั้งรับในทุกทิศทุกทางที่อาจจะถูกโจมตี จึงเป็นข้อได้เปรียบทางกลยุทธ์ของผู้โจมตีให้สามารถทุ่มเทกำลังไป ณ จุดๆเดียว
4. เปิดฉากการจู่โจมให้เร็ว พลังของการโจมตีแบบไม่คาดฝันให้ผลที่มากกว่าการโจมตีด้วยกำลังมหาศาลแต่เอิกเริก
 *********************************************************************************
กลยุทธ์ “ซ่อนเร้น” (“invisible” strategies)
                กลยุทธ์และยุทธวิธีต่าง ๆ ที่นักการตลาดเจาะตรงนำมาใช้ จะเป็นลักษณ์ซ่อนเร้นจำบังคู่แข่งขันมองไม่เห็น หรือหากจะมองเห็นอยู่บ้าง แต่ก็น้อยกว่ากลยุทธ์ต่าง ๆ ที่นำมาใช้ปฏิบัติกันทางสื่อมวลชนมาก จากการใช้กลยุทธ์ที่ซ่อนเร้นดังกล่าว จะช่วยป้องกันมิให้คู่แข่งขันลอกเลียนแบบ หากการใช้แผมรณรงค์ทางการตลาดประสบผลสำเร็จ
********************************************************************************* 
กลยุทธ์สะสมแต้ม
   ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันนี้ นักการตลาดต้องมีการปรับแผนการตลาดเพื่อให้มีความสามารถในการแข่งขันทางการตลาดสูง ไม่ใช่แค่ทัดเทียม แต่ต้องให้เหนือกว่าบริษัทคู่แข่ง ไม่ใช่แค่หาลูกค้าใหม่ แต่ต้องรักษาความภักดีต่อตราสินค้าของลูกค้าไว้ให้เหนียวแน่น สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องน่าท้าทายสำหรับนักการตลาด ให้แสวงหาเครื่องมือใหม่ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าไม่ให้เปลี่ยนไปใช้สินค้าของคู่แข่ง “วิธีการสะสมแต้ม” เป็นแนวทางการตลาด อีกรูปแบบหนึ่งที่มีประสิทธิภาพสูงและใช้แพร่หลายรู้จัก Enterprise Currency Marketing (ECM)
 *********************************************************************************
กลยุทธ์การตลาด แบบปากต่อปาก
    Viral Marketing คืออะไร ในปัจจุบันต้องยอมรับว่า สื่อออนไลน์ หรือที่เราเรียกกันอย่างคุ้นเคยว่า Social Network เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากพอสมควร ซึ่งก็เข้าทางการตลาดแบบ Viral ที่อาศัยการบอกต่อโดยใช้สื่อที่เรียกว่า Social Network นี้เองในการเป็นสื่อกลาง จะกล่าวได้ว่าการตลาดแบบ Viral นั่นคือ การที่ผู้ส่งสารได้ไปประสบพบเจอแล้วเกิดอยากบอกต่อหรือแชร์ให้กับคนอื่นทราบ
 *********************************************************************************
กลยุทธ์โฮมเพจ บริการโฮมเพจ
    จะให้พื้นที่ฟรีแก่ลูกค้า จำนวน 1 หน้า เพื่อโฆษณาสินค้าและบริการ พร้อมระบุรายละเอียดอื่นๆ อาทิ สถานที่ตั้ง และหมายเลขโทรศัพท์ที่ติดต่อ เพื่อให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์สามารถติดต่อได้ทันที โดยมีรูปแบบของหน้าโฮมเพจให้ลูกค้าเลือกถึง 5 รูปแบบด้วยกัน ทั้งนี้กลุ่มเป้าหมายหลักของบีโอแอลคือผู้ประกอบการต่างๆ โดยเฉพาะเจ้าของธุรกิจขนาดกลางที่ต้องการใช้โฆษณาประชาสัมพันธ์ สามารถใช้บริการฟรีบนบีโอแอลเว็บไซต์ จึงเป็นอีกทางเลือกที่ดีอีกทางเลือกหนึ่ง
 *********************************************************************************
กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด
    กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาดจะบอกรายละเอียดว่าวัตถุประสงค์ทางการตลาดแต่ละอย่างนั้น เราจะใช้วิธีการอย่างไร เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว ในขณะที่วัตถุประสงค์ทางการตลาดที่เรากำหนดนั้นต้องมีความเฉพาะกำหนดขอบเขต ต่างๆ ชัดเจน และเกี่ยวเนื่องกับพฤติกรรมการซื้อของบริโภคนั้น กลยุทธ์การตลาดกลับมีความหมายกว้างกว่าและจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของแผนตลาด กำหนดการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ของสินค้า (Product Positioning) กลยุทธ์การตลาดและยังจะใช้เป็นกรอบอ้างอิงในการพัฒนาโปรแกรมด้วยส่วนผสมการ ตลาด (Marketing Mix) อีกด้วย ธุรกิจสามารถกำหนดกลยุทธ์ต่างๆ มากกว่า 1 กลยุทธ์ โดยพิจารณาจากหัวข้อต่างๆ

********************************************************************************* 

วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

E-Retailing

ให้นักศึกษาค้นหาข้อมูลชื่อเว็บไซต์ตามกลุ่มต่อไปนี้
*********************************************************************************
B2B (5เว็บ)
www.Alibaba.com
www.Ec21.com
www.Globalsources.com
www.Farms.com
www.ThailandSupply.com
*********************************************************************************
B2C (10เว็บ)
www.myhomehitech.com
www.sb-maris.com
www.meeshape4slim.com
www.sim-dee.com
www.bkcatieshome.com
www.sumbaidee.com
www.meeshapeclub.com
www.bagbrandhome.com
www.vnppower.com
www.meshapeving.com
www.lushservice.com
*********************************************************************************
C2C (5เว็บ)
www.ebay.com
www.thaicar.com
www.thaionlinemarket.com
www.tarad.com
www.shopping.sanook.com
*********************************************************************************
C2B(5เว็บ)
www.se-ed.com
www.techopedia.com
www.c2bdata.com
www.c2binteractive.com
www.cb2.com
*********************************************************************************
B2E (5เว็บ)
www.nnplaza.com
www.goosiam.com
www.undp.or.th
www.thaiworld.org
www.icomosthai.org
*********************************************************************************

















ระบบชำระเงินของประเทศไทย

ระบบชำระเงินของประเทศไทย

1.การเปรียบเทียบระหว่างการชำระเงินต่อไปนี้

บัตรเครดิต // บัตรเดบิท
บัตรเครดิต (Credit Card) ชื่อบัตรก็บ่งบอกแล้วว่าต้องเป็นผู้ที่มีเครดิตจึงจะสามารถมีบัตรได้ บัตรเครดิต มีไว้เพื่อทำให้ชีวิตง่ายขึ้นในการจับจ่ายใช้สอย ทำให้ไม่ต้องพกเงินสดจำนวนมากเวลาใช้จ่าย ผู้ที่ใช้อาจไม่มีเงินสดในบัญชีขณะใช้บัตรเลยก็ได้ เปรียบเสมือนผู้มีเครดิตสามารถซื้อของที่ต้องการก่อน และชำระเงินในภายหลังเมื่อครบกำหนด

บัตรเดบิท มีความแตกต่างจากบัตรเครดิตอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ คุณต้องมีเงินในบัญชีธนาคารจึงจะสามารถใช้จ่ายได้ สำหรับการใช้จ่ายสามารถนำบัตรเดบิตไปรูดซื้อสินค้าได้เหมือนบัตรเครดิต เพียงแต่ไม่ได้รับเครดิตใดๆ นั่นก็หมายความว่า หากคุณนำบัตรเดบิตไปซื้อสินค้าจำนวน 1,000 บาท คุณต้องมีเงินในบัญชีไม่ต่ำกว่า 1,000 บาทนั่นเอง บัตรเดบิตช่วยให้คุณมีความสะดวกสบายในการซื้อสินค้า เพราะไม่ต้องเบิกถอนเงินสดไปชำระ
*********************************************************************************
BAHTNET // Media Clearing

ระบบโอนเงินรายใหญ่ (BAHTNET) เป็นเครือข่ายอีเล็กทรอนิกส์ระหว่างสถาบันการเงินที่สร้างขึ้นโดย ธปท.สามารถส่งผ่านข้อมูลระหว่างสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิก โดยเน้นธุรกรรมขนาดใหญ่ผ่านเครือข่าย VPNที่เชื่อมอยู่กับ Terminalที่เคาน์เตอร์ของธ.พาณิชย์ โดยเป็นวิธีชำระเงินแบบมีผลทันที (Real Time Gross Settlement ; RTGS)

ระบบโอนเงินรายย่อย (Media Clearing) ให้บริการเช่นเดียวกับระบบBAHTNET แต่มีข้อแตกต่างที่สำคัญ คือ
1. ระบบ Media Clearing เป็นระบบชำระเงินรายย่อยซึ่งมีมูลค่าไม่เกิน 500,000 บาท
2. ระบบนี้ไม่มีการโอนเงินแบบมีผลทันที แต่จะรวบรวมธุรกรรมไว้จนถึง สิ้นวันจึงมีการส่งข้อมูลเข้าทำการชำระบัญชีระหว่างธนาคาร ซึ่งฝากไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
*********************************************************************************

SWIFT // Western Union
SWIFT 
*ระบบโอนเงินระหว่างประเทศ SWIFT
(Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication ; SWIFT)

* เป็นคำสั่งโอนเงินผ่านเครือข่ายสากลที่เรียกว่า SWIFT ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของกลุ่มสถาบันการเงินเพื่อสร้างเครือข่ายการรับส่งข้อมูลทางการเงิน

* โดยปกติธนาคารพาณิชย์ไทย มักเปิดบัญชีกับธนาคารในต่างประเทศอยู่แล้ว เรียกว่า VOSTRO ส่วนใหญ่ VOSTRO คือ ธนาคารซิตี้แบงก์ใน NewYork เพราะกว้างขวาง ครอบคลุมทั่วโลก

 Western Union

* ระบบโอนเงินระหว่างประเทศ SWIFT(Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication ; SWIFT)

* เป็นคำสั่งโอนเงินผ่านเครือข่ายสากลที่เรียกว่า SWIFT ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของกลุ่มสถาบันการเงินเพื่อสร้างเครือข่ายการรับส่งข้อมูลทางการเงิน

* โดยปกติธนาคารพาณิชย์ไทย มักเปิดบัญชีกับธนาคารในต่างประเทศอยู่แล้ว เรียกว่า VOSTRO ส่วนใหญ่ VOSTRO คือ ธนาคารซิตี้แบงก์ใน NewYork เพราะกว้างขวาง ครอบคลุมทั่วโลก
*********************************************************************************
อธิบายช่องโหว่ของการชำระเงินด้วยบัตรเครดิต พร้อมเสนอแนวทางการป้องกันปัญหา 
ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของท่านเองว่า ท่านสามารถควบคุมการใช้บัตรของท่านได้ถูกวิธีหรือไม่ หากท่านมีการใช้วงเงินเกิน การชำระคืนของท่านการมีบัตรเครดิตก็เป็นดาบ 2คมเช่นกัน ดังนั้นเมื่อท่านมีบัตรเครดิต ท่านควรมีวิธีการบริหารการใช้จ่ายอย่างถูกวิธี เพื่อประโยชน์สูงสุดในการบริหารการเงินของตัวท่านเอง
::แนวทางการป้องกัน::
ควรใช้เมื่อไรดี
1. สาธารณูปโภค สะดวกต่อการจ่ายเงิน
2. น้ำมัน จ่ายบัตรถูกกว่า เพราะบ้างบัตรมีส่วนลด 2 % แถมน้ำอีกต่างหาก
3. สินค้า/บริการ ราคาแพง เช่น พวกประกันชีวิต
4. ซื้อของผ่านเว็บ สะดวกและปลอดภัย (เฉพาะบ้างบัตรที่เราปฏิเสธ ความรับผิดชอบได้)

สิ่งที่ไม่ควรทำ
1.ใช้บัตรเครดิตกดเงินสด  ถ้าหากไม่จำเป็นจริง ไม่ควรทำ เพราะเสียดอกแพงมาก ยังไม่รวมค่าธรรมเนียมอีกมากมาย
2. บัตรเครดิดโปะบัตรเครดิตอื่น ถ้าหากทำอย่างนี้ ชิวิตก็จะวนไปเรื่อยจ่ายค่าบัตรไม่มีที่สิ้นสุด
บัตรเครดิตก็เหมือนไฟฟ้า เป็นนว้ตกรรมทางที่ถูกสร้างขึ้นมาให้ชีวิตสะดวกขึ้น มีทั้งคุณและโทษขึ้นอยู่กับเราว่าจะใช้อย่างไร
*********************************************************************************
:: รายชื่อผู้ให้บริการ eBPP ทั่วโลก มาให้มากที่สุด
-ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (Small and Medium Enterprise Development Bank of Thailand)
-ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (Bank for Agriculture and Agricultural Cooperatives)
-ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (Export-Import Bank of Thailand)
-ธนาคารออมสิน (Government Saving Bank)
-ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (Government Housing Bank)
-ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (Islamic Bank of Thailand)
-ธนาคารกรุงไทย (Krung Thai Bank) - รัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงการคลัง
-ธนาคารทหารไทย (TMB Bank) - กลุ่มกองทัพไทย เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
-ธนาคารกรุงเทพ (Bangkok Bank)
-ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (Bank of Ayudhaya)
-ธนาคารกสิกรไทย (KasikornBank)
-ธนาคารกรุงไทย (Krungthai Bank)
*********************************************************************************
2.นักศึกษาคิดว่าปัจจุบันการเข้ามาของเทคโนโลยี E-COMMERCEมีผลกระทบต่อนักศึกษาอย่างไร และคิดว่ามีผลดีผลเสีย หรือไม่อย่างไร
ไม่มีผลกระทบการดำเนินการธุรกิจการซื้อหรือการขายสินค้าบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เนตโดยที่ผู้ซื้อสามารถทำธุรกรรมทั้งหมดได้บนระบบเครือข่ายอินเทอร์เนต ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการเลือกชมสินค้าซื้อสินค้า คำนวนเงินที่ต้องชำระ ชำระเงินได้ทั้งผ่านบัตรเครดิต โอนเงิน ได้โดยอัตโนมัติ และในส่วนของผู้ขายเองก็สามารถนำเสนอสินค้า ประชาสัมพันธ์ จัดโปรโมชัน ตรวจสอบวงเงินบัตรเครดิตของลูกค้า รับการชำระเงิน จัดการกับสินค้าได้ทั้งหมดเหมือนกับมีร้านค้าจริงๆ ในความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่ม ลด แก้ไข รายการสินค้าภายในร้าน รวมถึงการประสานงานไปยังผู้จัดส่งสินค้า โดยอัตโนมัต ซึ่งกระบวนการทั้งหมดที่ได้กล่าวมาสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้บนระบบเครือข่ายอินเทอร์เนต โดยที่ผู้ซื้อและผู้ขายไม่ต้องเดินทางไปพบกัน
ข้อดีและข้อเสียของ E-Commerce
ข้อดี
1.สามารถเปิดดำเนินการได้ตลอด 24 ชั่วโมง
2.สามารถดำเนินการค้าขายได้อย่างอิสระทั่วโลก
3.ใช้ต้นทุนในการลงทุนต่ำ
4.ไม่ต้องเสียค่าเดินทางในระหว่างการดำเนินการ
5.ง่ายต่อการประชาสัมพันธ์ และยังสามารถประชาสัมพันธ์ในครั้งเดียวแต่ไปได้ทั่วโลก
6.สามารถเข้าถึงลูกค้าที่ใช้บริการอินเทอร์เนตได้ง่าย
7.ประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาสำหรับผู้ซื้อและผู้ขาย
8.ไม่จำเป็นต้องเปิดเป็นร้านขายสินค้าจริงๆ
ข้อเสีย
1.ต้องมีระบบการรักษาความปลอดภัยของระบบที่มีประสิทธิภาพ
2.ไม่สามารถเข้าถึงลูกค้าที่ไม่ได้ใช้บริการอินเทอร์เนตได้
3.ขาดความเชื่อมั่นในเรื่องการชำระเงินผ่านทางบัตรเครดิต
4.ขาดกฎหมายรองรับในเรื่องการดำเนินการธุรกิจขายสินค้าแบบออนไลน์
5.การดำเนินการทางด้านภาษียังไม่ชัดเจน

*********************************************************************************
3. E-COMMERCE สามารถสร้างกลยุทธ์ในการแข่งขันกับคู่แข่งทางการค้าได้หรือไม่อย่างไร
สามารถทำได้โดยกลยุทธ์ทางการตลาดสมัยใหม่ซึ่งเป็นส่วนผสมทางการตลาด(MarketingMix)หรือที่เรียกสั้นๆว่า 8P’sซึ่งต้องมีแนวทางความคิดทางการสื่อสารการตลาด(IMC)โดยอาศัยเครื่องมือการติดต่อสื่อสารกับผู้บริโภคแบบสมัยใหม่ซึ่งแบ่งส่วนขยายเพิ่มเติมจากเดิมอีกหลายส่วนทั้งงานศึกษาทั้งภายในและภายนอกประเทศเชื่อมโยงสู่การทำธุรกิจสมัยใหม่ซึ่งเน้นการสร้างผลกำไรสูงสุดบนความพอใจของผู้บริโภคซึ่งเป็นการทำธุรกิจระยะยาว(Long-TermBusiness)พร้อมกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคสมัยใหม่ซึ่งเปลี่ยนไปอย่างมากโดยเฉพาะการแบ่งส่วนการตลาด(Segmentation)

*********************************************************************************